กุ้งลายเสือ

กุ้งลายเสือ

กุ้งลายเสือ

กุ้งถือว่าเป็นเมนูโปรดของใครหลาย ๆ คน (ถึงจะแพ้ก็ตาม ฮ่า ๆ ) โดยเฉพาะกุ้งทะเล หากนึกถึงก็คงไม่พ้นกุ้งลายเสือ หรือกุ้งกุลาดำ ที่ถือว่าเป็นกุ้งทะเลขนาดใหญ่ โดยจะมีขนาดใหญ่สุด  12 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 400-500 กรัม ซึ่งอาศัยอยู่ทั่วไปตามชายฝั่งทะเลในทวีปเอเชีย และมีถิ่นกำเนิดแถบ อัฟริกาตะวันออกและตะวันตกเฉียงใต้, อินโดแปซิกฟิกตะวันตก และคาบสมุทรอินเดีย ส่วนในประเทศไทยนั้นหากเป็นทะเลฝั่งอันดามันก็จะพบเห็นได้มากที่ นอกฝั่งของจังหวัดภูเก็ต กับ ระนอง หากเป็นฝั่งอ่าวไทยก็ที่ เกาะช้าง กับนอกฝั่งชุมพร และนครศรีธรรมราช

ในช่วงที่กุ้งลายเสือเจริญเติบโตได้เร็ว หากยังไม่โตเต็มวัยจะชอบอาศัยบริเวณน้ำกร่อยตามปากแม่น้ำ และป่าชายเลน หากโตเต็มวัยก็จะย้ายไปอยู่ในทะเลที่มีโคลนปนทรายที่มีความลึกไม่เกิน 110 เมตร โดยจะเก็บตัวในช่วงกลางวัน และออกหากินในตอนกลางคืนโดยกินได้ทั้งพืช และสัตว์ เช่นหนอน, แมลงน้ำ มีความแข็งแรงอดทนต่ออุณหภูมิที่สูง และความเค็มต่ำ

ลักษณะของกุ้งลายเสือลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อน หรือ แดงอมน้ำตาล มีลายดำ หรือน้ำตาลเข้ม พาดอยู่ด้านหลัง ประมาณ 9 ขีด จึงเป็นที่มาของชื่อ “กุ้งลายเสือ” ส่วนด้านบนมีฟันประมาณ 6-8 ซี่ ด้านล่าง 2-4 ซี่  ปลายหาง และขามีขนสีแดงส่วนของหนวดลายจะจาง ๆ ไม่เด่นขัด แก้มแนวระนาบ สันอยู่ที่โคนกรีทั้งสองข้าง ยาวจนเกือบถึงกรีหลังสุด แนวสันข้างเฉียงไปที่ตา

ปัจจุบันการเพาะเลี้ยงกุ้งลายเสือ หรือกุ้งกุลาดำ ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เนื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาด แถมยังมีราคาดี และตัวยังใหญ่กว่ากุ้งตามธรรมชาติ แต่กุ้งลายเสือตามธรรมชาติก็ถือว่าเป็นที่นิยมเช่นกัน เพราะมีรสชาติดีกว่า และเนื้อแน่นกว่า นั่นก็เป็นเพราะว่ากุ้งธรรมชาติทานอาหารจากธรรมชาติ ได้ว่ายน้ำเหมือนเป็นการออกกำลังกายจึงทำให้มีเนื้อที่แน่น และอร่อย กว่า

การหากุ้งลายเสือตามธรรมชาติชาวประมงก็จะใช้วิธีเหวี่ยงแห หรือลากอวน โดยการลากแต่ละครั้งก็จะได้ทั้ง กุ้งลายเสือ, กุ้งแชบ๊วย, กุ้งขาว, และ กุ้งมังกร เป็นต้น

สำหรับเมนูอาหารกุ้งลายเสือก็สามารถทำได้หลากหลายเช่นกัน โดยเมนูที่แนะนำก็คือ กุ้งลายเสือต้มยำน้ำใส หรือน้ำข้น, กุ้งทอดซอสมะขาม, สเต๊กกุ้ง, กุ้งทอดกระเทียม, ข้าวต้มกุ้ง, กุ้งเผา น้ำจิ้มซีฟู้ด, กุ้งเผา, กุ้งอบวุ้นเส้น ฯลฯ ซี่งหากใครมีไอเดียทางด้านอาหารก็สามารถปรับไปเป็นเมนุได้ตามใจชอบ ได้เลย